จัดส่งฟรีเมื่อช้อปครบ 1,500 บาท

ฝุ่น PM2.5 ตัวการทำร้ายผิวหนังที่หลายคนคาดไม่ถึง

ฝุ่น PM2.5 ตัวการทำร้ายผิวหนังที่หลายคนคาดไม่ถึง

ฝุ่น PM2.5 ตัวการทำร้ายผิวหนังที่หลายคนคาดไม่ถึง

มลพิษที่ส่งผลโดยตรงกับมนุษย์เราในปัจจุบัน ก็คงจะหนีไม่พ้นฝุ่น PM2.5 ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายมากกว่าที่คิด และยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำร้ายผิว โดยส่งผลกระทบทั้งในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรัง

PM2.5 คืออะไร?

PM2.5 ย่อมาจาก Particulate matter with diameter of less than 2.5 micron หมายถึงอนุภาคที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน เมื่อเทียบกับเส้นผมทั่วไปที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 60 – 70 ไมครอน เจ้าฝุ่นนี้จึงมีขนาดเล็กจิ๋วมากจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และด้วยขนาดที่เล็กมากจึงเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย ไม่ว่าจะจากการหายใจหรือผ่านช่องทางผิวหนัง สาเหตุของการเกิดมอลพิษทางอากาศอย่าง PM2.5 นั้นมาจากการเผาไหม้ต่างๆ การปล่อยอากาศพิษออกจากโรงงานหรืออุตสาหกรรม ควันจากท่อไอเสียของยานพาหนะอย่างรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ ควันจากการเผาขยะหรือไฟป่า รวมทั้งการทำปฏิกิริยาของก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ก็มีส่วนก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5  

อันตรายของฝุ่นพิษ

ผลกระทบแรกที่เห็นได้ชัดเจนจากฝุ่น PM2.5 คือเป็นอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ เมื่อหายใจเอาฝุ่นควันเหล่านี้เข้าไป จะรู้สึกแสบจมูก ไม่สบาย ไอและมีเสมหะ ในผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้อาจเกิดผดผื่นคันตามผิวหนัง หอบหืด หรือถุงลมโป่งพอง เพราะเจ้าฝุ่นตัวร้ายนี้ไปกระตุ้นอาการของโรคให้กำเริบขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งนี้ สามารถแบ่งผลกระทบออกเป็น 2 ระยะด้วยกันคือ
  1. ระยะเฉียบพลัน: เกิดการระคายเคืองผิว ก่อให้เกิดการอักเสบ ส่งผลให้ผิวแห้งหรือเสียความชุ่มชื้น และอาจมีอาการแพ้ของผิวร่วมด้วย เนื่องจากเจ้าฝุ่น 5 สามารถทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นนอกและผิวหนักกำพร้า
  2. ระยะเรื้อรัง: รบกวนการทำงานของเซลล์ผิว กระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เซลล์ผิวหนังของเราเสื่อมลงเร็ว รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในระบบต่างๆ อีกด้วย
  3 ระดับความรุนแรงของอาการการแพ้และปัญหาผิวหนัง  

PM2.5 ส่งผลเสียต่อผิวอย่างไรบ้าง?

เมื่อเจ้าฝุ่นร้ายนี้เข้าสู่รูขุมขน โดยอาจจับตัวกับสารเคมีหรือโลหะต่างๆ แล้วเข้าสู่ผิวโดยตรง ทำให้เกิดการสะสมและอุดตันในต่อมไขมันและต่อมเหงื่อ ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก่อให้เกิดสิวและกระตุ้นการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับผิวหนังอยู่แล้ว มีอาการรุนแรงยิ่งขึ้น เป็นผื่นแดง คัน จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ตลอดจนเป็นลมพิษบริเวณใบหน้า ข้อพับ และขาหนีบ
  1. ทำให้การทำงานของเซลล์ผิวหนังผิดปกติ
  2. ก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังได้
  นอกจากนี้ ฝุ่น PM2.5 ยังเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผิวหนังเสื่อมก่อนวัยอันควร หรือผิวดูแก่เร็วขึ้นอีกด้วย โดยจะไปกระตุ้นกระบวนการหลั่งของสารอนุมูลอิสระออกมาในปริมาณที่มากขึ้น ทำให้ชั้นผิวหนังทำงานผิดปกติ เร่งกระบวนการการเสื่อมของผิวหนัง ตลอดจนมีส่วนทำลายคอลลาเจนในผิว สูญเสียโปรตีนภายในเซลล์ เกิดความหย่อนคล้อยและรอยเหี่ยวย่น ทั้งยังกระตุ้นเม็ดสีเมลานินที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวของเรานั้นเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ อีกด้วย  

3 ระดับความรุนแรงของอาการการแพ้และปัญหาผิวหนัง

  1. ระดับน้อย: เป็นสิวอักเสบหรือสิวอุดตันในบริเวณต่างๆ สามารถรักษาได้โดยใช้ยาทาสิวและรับประทานยา เพื่อลดอาการอุดตันของรูขุมขน
  2. ระดับปานกลาง: มีอาการระคายเคือง ปวดแสบปวดร้อน ผื่นขึ้นตามผิวหนัง สามารถรักษาได้โดยการใช้ยาทาและรับประทานยาแก้แพ้ร่วมด้วย เพื่อช่วยลดอาการแพ้ต่างๆ ของผิวหนัง
  3. ระดับรุนแรง: เป็นผื่นลมพิษ หรือมีอาการปวดแสบปวดร้อนเป็นระยะเวลานาน ซึ่งถ้าหากเกิดกรณีการแพ้ระดับรุนแรง ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
  วิธีดูแลผิวเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่น PM2.5   วิธีดูแลผิวเพื่อป้องกันอันตรายจากฝุ่น PM2.5 การหลีกเลี่ยงสัมผัสหรือพบเจอฝุ่น PM2.5 นั้นคงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากเจ้าฝุ่นนี้มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นการดูแลหรือปกป้องผิวหนังจากมลพิษทางอากาศ จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวของเรา ให้แข็งแรงและไม่อ่อนแอลงได้ง่าย
  1. ทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
แสงแดดเป็นตัวกระตุ้นมลพิษให้ทำงานได้ดีขึ้น เนื่องจากมลภาวะที่มีความร้อนสูง จะสามารถลอยตัวได้หลายระดับ และในขณะที่ความร้อนสูง ร่างกายก็จะมีเหงื่อไหลออกมาที่ผิวหนังเพื่อเป็นการปกป้องผิวจากแสงแดด แต่รู้หรือไม่ว่าน้ำมันหรือเหงื่อที่ไหลออกมานั้นเป็นตัวจับฝุ่นในอากาศอย่างดี จึงก่อให้เกิดการอุดตันและก่อให้เกิดสิวได้
  1. มาสก์หน้าเพื่อลดการระคายเคืองผิวหนัง
หลังจากที่เราต้องเผชิญกับฝุ่นควันมาตลอดทั้งวัน เราจึงต้องทำการฟื้นฟูสภาพให้กับผิวหนังของเรา โดยการมาสก์ผิวเป็นประจำ เนื่องจากการมาสก์ผิวนั้นเป็นตัวช่วยหลักที่ช่วยฟื้นฟูคุณภาพของผิวหนัง ลดการระคายเคืองของผิวหนัง และช่วยเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว เพื่อเป็นการบำรุงและหลีกเลี่ยงปัญหาผิวต่าง ๆ ที่จะตามมา เช่นการเกิดสิว ริ้วรอย ผิวคล้ำ ผิวเสีย
  1. ทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำ
การทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและผลิตน้ำมันออกมาตามปกติ ลดสาเหตุของการเกิดความส่วนเกินบนใบหน้า รวมถึงการอุดตันต่าง ๆ ที่ก่อให้เกิดสิว นอกจากนี้ ความชุ่มชื้นยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของ Skin Barrier ซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิวของเรา ช่วยลดโอกาสเกิดการแพ้ระคายเคือง ดังนั้นการทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นประจำจึงทำให้ผิวของเรานั้นแข็งแรง
  1. รักษาความสะอาดอยู่เสมอ
เนื่องจากกิจวัตรประจำวันของเรานั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงเจ้าฝุ่น PM2.5 ได้อย่าง 100% การชำระร่างกายให้สะอาดจึงเป็นสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรละเลย โดยการล้างหน้า อาบน้ำ หรือการสระผมทันที เพื่อชะล้างสิ่งที่สกปรกหรือมลพิษออกไปจากร่างกายหรือผิวหนังของเรานั่นเอง ถ้าหากทำความสะอาดร่างกายไม่ครบหรือไม่สะอาดทุกส่วน อาจทำให้เกิดผดผื่นตามร่างกายหรือปัญหาสิวที่จะตามมาในอนาคตอีกด้วย   การลดค่าฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาที่ใหญ่เกินกว่าระดับบุคคลจะทำได้ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการเตรียมพร้อมรับมือและป้องกันปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะผลกระทบต่อผิวหนัง เช่น ผดผื่นคัน จุดด่างดำ สิว ซึ่งส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวัน ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหรือสกินแคร์ที่ตอบโจทย์ปัญหาผู้ใช้งาน และปลอดภัยไร้สารอันตราย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวนั้น จึงเป็นตัวช่วยสำคัญในการดูแลผิว ก่อนที่จะต้องพบแพทย์หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางทางด้านผิวหนัง เพื่อแก้ปัญหาผิวที่รุนแรงยิ่งขึ้น  

บทความอื่นๆที่คุณอาจจะสนใจ

Start typing and press Enter to search

Shopping Cart

ไม่มีสินค้าในตะกร้า